wake up #nomin



wake up

#nomin

R-17, au vampire





            สายฝนยามเช้าโปรยปราย อากาศเย็นตัวลงจนน่าใจหาย ก้านนิ้วเรียวยกขึ้นถูปลายจมูกรั้นจนเห่อแดง ก้มมองรองเท้าผ้าใบคู่โปรดย่ำอยู่กับน้ำเจิ่งนอง ก่อนที่เงามืดบางอย่างจะเคลื่อนทาบทับ พร้อมกับสายฝนที่เคยโปรยปรายจะหยุดลง


            ทำไมไม่พกร่ม


            เพราะรู้ว่านายจะพกไง


            ริมฝีปากบางฉีกยิ้ม หยาดฝนเม็ดเล็กนั่นไม่สามารถสัมผัสกับร่างกายเขาได้อีกต่อไป เมื่อร่างสูงที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมกับร่มคันสีดำ


            อีกฝ่ายถอนหายใจ ก่อนทั้งสองจะก้าวเดินไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ อากาศที่เย็นชื้นจนร่างบางแทบจะหายใจไม่ออก รั้งความสนใจของร่างสูงไปยังกรอบหน้าเล็กนั่น


            รอยแดงข้างแก้มวันนี้ยังไม่จางลง ปลายนิ้วโป้งแตะแต้มแผ่วเบา ทำเอาการเดินทางของทั้งคู่ต้องหยุดลง


            สายตาไม่พอใจจากเพื่อนสนิทนั่นทำให้ร่างบางยกยิ้ม


            ไม่เป็นไรหรอกน่าเอ่ยขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้กรอบหน้าหล่อนั่นจะไม่คลายความกังวลลงแม้แต่น้อย


            ฝ่ามือหนาลดลงข้างกายเช่นเดิม ฝีเท้าเดินต่อไปยังจุดหมายไม่ไกล ซึมซับบรรยากาศที่มีเพียงแค่พวกเขาทั้งสอง การเดินทางไปโรงเรียนวันนี้ยังเหมือนเดิม


            ยังอุ่นใจเหมือนเดิม




wake up




            วิชาประวัติศาสตร์สากลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการพักสายตาช่วงบ่าย วงแขนแกร่งซ้อนทับกันพร้อมกับกรอบหน้าหล่อที่ซุกลงไป นัยน์ตาหวานลอบสำรวจกลุ่มผมสีสว่างของอีกฝ่าย ผิวกายซีดขาวราวกับกระดาษ สันจมูกโด่ง แพขนตาหนา เครื่องหน้าราวกับเป็นคนโปรดของพระเจ้านั่นทำเอาร่างบางนึกอิจฉา


            ลี เจโน่ยามหลับใหลคล้ายกับงานศิลปะชิ้นเอก แต่ก็ได้เพียงแค่นั้นเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้น สบเข้ากับนัยน์ตาหวานของเขา จ้องลึกและนิ่งค้างไว้


            แอบมอง?


            เปล่าสักหน่อย


            เสสายตาหันไปมองอาจารย์ร่างท้วมที่ยืนบรรยายสถาปัตยกรรมโบราณอยู่หน้าห้อง


            มองต่อสิ


            ...


            ฉันชอบเวลาที่นายมองฉัน


            ค้อนทางสายของร่างบางทำให้ริมฝีปากหยักได้รูปนั่นยกยิ้ม


            หากสาว ๆ ร่วมสายชั้นได้เห็นก็คงยินดีทั้งกายและใจที่จะรับรอยยิ้มนั่นไว้


            แต่ไม่กับนา แจมิน



           
wake up




            ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไว ไม่นานนักทั้งสองก็ต้องก้าวขาออกจากพื้นที่แห่งความสุข กลับไปยังทางเดินที่ทอดยาว


            ฝนไม่ตกแล้ว แต่เมฆยังเต็มท้องฟ้า หม่นจนน่าอึดอัดใจ


            ไปนอนบ้านฉันมั้ยเสียงทุ้มถามขึ้น มือหนารั้งข้อมือบางของเพื่อนสนิทไว้ นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ร่างบางเลือกจะปฏิเสธ


            ไม่เป็นไรมือนุ่มยกขึ้นกอบกุมทับกับมือของร่างสูง ออกแรงแผ่วเบาพันธนาการนั่นก็จำต้องคลายออกพรุ่งนี้เจอกัน


            เอ่ยบอกลาพร้อมโบกมือ ร่างสูงไม่ได้ตอบกลับ


            แจมินฉีกยิ้มกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ


            หันหลังกลับ ทางเดินอีกไม่ไกลมาก แต่ก็ทำให้ร่างบางทบทวนความคิดของตัวเองได้


            บ้านเดี่ยวขนาดกลางห่างไกลจากเพื่อนบ้าน รั้วไม้สีขาวที่หม่นไปตามกาลเวลา สวนสวยเหลือเพียงซากไม้ประดับหลังขาดการดูแลเนิ่นนาน ฝ่ามือเรียวผลักบานประตูกว้างเข้าไป ย่นจมูกให้กลิ่นอับจากภายในที่ไม่เคยนึกชินได้สักครั้ง


            เจ้าของบ้านนั่งอยู่ด้านใน พร้อมกับสาวสวยสองคนที่ไร้อาภรณ์ หนึ่งในนั้นเดินตรงมาทางแจมิน ร่างบางเสสายตาหลบ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไปด้วยความรวดเร็ว


            ปัง


            ประตูถูกปิดลงพร้อมกับร่างบางที่หอบหายใจ ไม่ลืมลงกลอนประตูไว้กันการบุกรุกจากเจ้าของบ้าน ทรุดกายนั่งลงบนเตียงหลังเล็ก ควานหาขนมปังชิ้นเล็กในกระเป๋า อ้าปากงับมื้อเย็นเข้าเต็มคำ ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง เพื่อให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว




wake up




            ปัง! ปัง! ปัง!


            เสียงทุบประตูดังขึ้นยามวิกาล รั้งให้ร่างบางรู้สึกตัวจากห้วงนิทรา เข็มสั้นบอกเวลา 3 นาฬิกา กรอกตาและผ่อนลมหายใจออกอย่างเหนื่อยหน่าย


            เปิดประตูเดี๋ยวนี้ไอเด็กเวร!”


            เสียงตะโกนที่ดังขึ้นจากหน้าห้องทำให้แจมินต้องชั่งใจ


            ถ้ามึงไม่เปิด กูจะเอาปืนมายิงมึงทิ้งแน่


            สุดท้ายมือเรียวก็ต้องปลดกลอนออก เพราะรู้ว่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอยู่นั้นไม่มีอะไรเกินจริงเลย


            เอาเงินมากลิ่นเหล้าที่โชยออกมาจากตัวอีกฝ่ายทำเอาแจมินเบ้หน้า


            ไม่มี


            มึงอย่ามาตอแหล กูบอกให้เอาเงินมา!”


            ก็บอกว่าไม่มีไง!”


            เพี๊ยะ!


            มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเหรอ!”


            ฝ่ามือที่วาดลงมาอย่างแรงส่งผลให้ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงไปกับพื้น กลิ่นคาวเลือดกบปาก ชันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง


            กูบอกให้เอาเงินมา ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงวะ!!”


            ไม่มี


            กูไม่เชื่อ!”


            อัก!”


            คราวนี้สองมือหยาบกร้านนั่นกำเข้าที่คอเสื้อของร่างบาง แรงผลักมหาศาลนั่นดันให้แจมินถอยหลังชนเข้ากับโต๊ะอ่านหนังสืออย่างแรง


            เพล้ง!


            กรอบรูปที่ตั้งไว้ร่วงหล่น กรอบแก้วของมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงเล็ก ๆ แต่ที่มากกว่านั้นคือเงินจำนวนหนึ่งที่สามารถทำให้แจมินใช้ชีวิตไปอีกเดือนหล่นออกมาจากด้านหลังของภาพ


            หึ ไหนมึงบอกไม่มีเงิน ไอเด็กตอแหล


            ผลัวะ!


            หมัดหนักซัดเข้าที่กรอบหน้าหวาน เด็กหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นเป็นหนที่สอง แต่คราวนี้เขากลับไม่ได้รับโอกาสให้ลุกขึ้น เมื่ออีกฝ่ายตามมาคร่อมทับ ก่อนที่หมัดหนักอีกหลายครั้งจะซัดเข้ามาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย


            ไม่เหลือแม้แต่แรงขัดขืน ยื่นมือไปคว้ากรอบรูปของหญิงสาวที่ทิ้งเขาไว้กับสามีใหม่ของเธอ


            อัก!”


            ทำไมครั้งนี้มันเจ็บกว่าครั้งก่อนอีกล่ะ


            อาจจะเดินไปโรงเรียนพรุ่งนี้ไม่ไหว


            เจโน่จะโกรธมั้ยนะ


            จะง้อด้วยอะไรดี


            อ่า


            เจ็บจัง



           
wake up




            แจมินผิดสัญญา


            ก้มมองนาฬิกาที่เลยเวลาเข้าเรียนคาบแรกมา 15 นาที แต่กลับไร้วี่แววของร่างบาง


            ความกังวลที่ก่อตัวทำให้ขายาวก้าวไปยังทิศทางของบ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน


            จากการเดินในจังหวะเดิม ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้น กลายเป็นวิ่งเหยาะ ๆ บ้านหลังสีขาวปรากฏตรงหน้า แต่ที่แปลกไปคือประตูบ้านถูกเปิดค้างไว้


            ไร้เสียง เงียบสงัดจนน่าใจหาย ก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า บรรยากาศเย็นตัวสวนทางกับร่างสูงที่ร้อนรน


            ภายในบ้านทรุดโทรมกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยเข้ามา


            ราวกับไม่มีผู้อยู่อาศัย


            บ้านที่ไร้ชีวิตชีวา


            บันไดไม้เกิดเสียงยามที่รองเท้าผ้าใบข้อสูงเหยียบย่ำ ตรงไปยังห้องคุ้นตา ประตูบานสีขาวถูกแง้มไว้ นัยน์ตาคมมองผ่านช่องว่างเล็ก ๆ นั่น ก่อนจะเบิกกว้าง


            เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงรู้สึกกลัว


            ฝ่ามือหนากระชากบานประตูออกอย่างแรง เรือนกายบอบบางนอนอยู่กลางพื้นห้อง ในอ้อมแขนระโหยแรงกอดรูปหญิงสาวเจ้าของใบหน้างดงาม ไม่สนว่าเศษกระจกจากกรอบรูปนั่นจะกินผิวหนังเข้าไปลึกเพียงใด


            แจม...แจมิน...


            เสียงทุ้มสั่นเครือ ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจ แขนยาวสอดรองเข้ากับเรือนกายบอบบาง เรียกรั้งสติอันแสนเลือนลางนั่น


            หัวใจเต้นเบาเกินไป ร่องรอยปรากฏทั่วร่างกายไม่สามารถบ่งบอกได้ถึงความบอบช้ำของอวัยวะภายใน ไม่รู้ว่าร่างบางนอนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน อาจตั้งแต่รุ่งสาง ยามวิกาล หรือตั้งแต่เย็นเมื่อวาน


            อุณหภูมิในกายลดลง ชีพจรเริ่มแผ่ว


            จนหยุดลง


            สองมือหนาผสานกับตรงหน้าอกบาง การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตรงตามขั้นตอนทุกอย่าง กินเวลาเนิ่นนาน แต่ไม่


            โอกาสของร่างบางหมดลงแล้ว


            ไม่...แจม...ไม่ ฟื้นสิ...แจม


            ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนภาพตรงหน้าเลือนราง


            หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นของร่างสูง ส่งผลให้แรงกดระดับอกของร่างบางหยุดลง


            เป็นครั้งแรกที่เขาต้องการวิงวอน


            สบมองกรอบหน้าหวานซีดเซียว


            นอกเหนือเสียจากเขาจะเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ให้แก่แจมิน


            “…ขอโทษนะ


            กรอบหน้าหล่อลดลงจนอยู่ระดับเดียวกับต้นคอขาว ริมฝีปากหยักได้รูปอ้าออก เผยให้เห็นคมเขี้ยวยาวผิดมนุษย์ กดลงไปจนเกิดรอยแยกของผิวหนัง ส่งผลให้หยาดโลหิตหลั่งออกมา


            เพียงแค่นั้นก็เปลี่ยนชีวิตของนาแจมินไปตลอดกาล




wake up




            อึก...แฮ่ก...


            คอหอแห้งผาก ทรมาน และร้อนรนจากภายใน ความกระหายเป็นสิ่งฉุดรั้งร่างบางตื่นขึ้นจากการหลับใหล นัยน์ตาหวานลืมขึ้น แก้วตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิต


            โสตประสาทที่ตื่นตัว ทำงานได้ดีเกินไป


            ทั้งเสียง กลิ่น และพละกำลัง ราวกับมีมากกว่าปกติ


            ใจเย็น ๆเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นรั้งความสนใจของร่างบางไว้


            ฝ่ามือหนาแตะแต้มเข้าที่กรอบหน้าหวานอย่างอ่อนโยน แววตาที่สับสนนั่นทำให้เขาต้องเอ่ยปลอบประโลม ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ธรรมดามาตลอด 18 ปี เปลี่ยนเป็นแวมไพร์ในข้ามวัน หากจะทำใจให้ชินคงยากนัก


            เจ...เจโน่ อึก!”


            ชู่ว...รู้ใช่มั้ยต้องทำยังไง


            ประคองกายบอบบางขึ้นอย่างอ่อนโยน ปลายจมูกเกือบแนบชิด หากแต่ร่างสูงกลับเบี่ยงหน้าออกเล็กน้อย ให้แวมไพร์มือใหม่ได้ฟังเสียงของเลือดที่หมุนเวียนอยู่ภายในกายของตัวเอง


            ริมฝีปากบางอ้าออก ฟันที่เคยเรียงตัวสวยเปลี่ยนเป็นเขี้ยวคม กดลงบนลำคอหนานั่น หยดเลือดที่หลั่งออกมา รสชาติที่รู้สึกได้ ความเหนียวข้นนั่นช่วยชะลอความกระหาย ฝ่ามือหนาที่เคยประคองร่างบางไว้เลื่อนมาลูบแผ่นหลังเล็กแผ่วเบา


            เด็กดี...เธอเก่งมาก


            ถือว่าทำได้ดีสำหรับมื้อแรกในฐานะแวมไพร์ของแจมิน


            เมื่ออาการขาดเลือดนั่นหยุดลง ริมฝีปากบางจึงค่อย ๆ ละออก คมเขี้ยวหดสั้นกลับไปเป็นฟันซี่เล็กเช่นเดิม แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนรอบริมฝีปาก


            เจโน่ยกยิ้ม ก่อนจะจูบซับทำความสะอาดให้อย่างอ่อนโยน และหยุดลงบนอวัยวะเดียวกัน


            ทิ้งไว้เนิ่นนาน จนกายบางในอ้อมแขนที่เคยสั่นกลัวเริ่มหยุดลง ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงความสับสนไว้


            ผละออกมาแผ่วเบา ทั้งยังคลอเคลียไม่ห่าง เตียงหลังกว้างใจกลางคฤหาสน์หลังโตมีเพียงเขาทั้งสอง


            กะ เกิดอะไรขึ้นเสียงหวานถามขึ้น ความทรงจำสุดท้ายของแจมินคือพื้นห้องนอน พร้อมกับกรอบรูปของคนเป็นแม่ในอ้อมกอด แต่บัดนี้ความเจ็บช้ำจากการถูกทำร้ายนั่นหายไป แลกมาด้วยสัญชาตญาณแปลกประหลาด


            นายถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายปางตาย ไม่สิ, ตายไปแล้วด้วยซ้ำร่างสูงพูดขึ้น ความคุกรุ่นจากภายในยังไม่เลือนหาย ฉันเลยตัดสินใจเปลี่ยนนายเป็นแบบฉัน


            ...หมายถึง?


            แวมไพร์


            ราวกับเสียงในลำคอขาดหาย เมื่อรับรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ปกติ


            ไม่สิ ตอนนี้แจมินก็เช่นกัน


            เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว


            ขอโทษที่เปลี่ยนนายโดยไม่ได้ถาม แต่ตอนนั้น ฉันไม่พร้อมจะเสียนายไป


            นัยน์ตาคมสบมอง ราวกับต้องมนต์ แจมินไม่อาจละสายตาได้


            ต่อจากนี้ นายเป็นของฉัน...แจมิน



           
wake up




            การใช้ชีวิตเป็นแวมไพร์ไม่ง่ายมากนักสำหรับแจมิน


            ทั้งในด้านพละกำลังที่จำต้องลดทอนลง ความว่องไวที่ต้องปรับให้เหมือนมนุษย์ทั่วไป การฟังเสียงที่กว้างไกล และชัดเจนมากขึ้น


            ถามว่าโกรธอีกฝ่ายมั้ยที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นแบบนี้


            ไม่เลย


            แจมินตกใจมากกว่า


            ตกใจที่อีกฝ่ายรักเขามากถึงขนาดนี้


            นั่นคือสิ่งที่แจมินรู้สึกได้ หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแวมไพร์ตนนี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ


            เจโน่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก


            เพียงแค่ดูแลและเอาใจใส่เขามากขึ้น


            และอีกหนึ่งสิ่งที่แจมินเพิ่งจะรู้ไม่นาน


            แจมินไม่สามารถปฏิเสธเจโน่ได้


            เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเลือดบริสุทธิ์โดยแท้ ส่วนแจมินเป็นเพียงคนที่ถูกทำให้กลายเป็นบริวาร นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถขัดขืนต่อคำสั่งของอีกฝ่ายได้


            มันไม่ได้ทำให้อึดอัดมากนักเพราะเจโน่ค่อนข้างจะให้อิสระกับเขาในการเรียนรู้การเป็นแวมไพร์ แต่มักจะเอ่ยห้ามบ้างยามที่เขาเล่นอะไรเกินตัว


            เช่นตอนนี้ที่มือเรียวกำลังจะยื่นออกไปเพื่อสัมผัสกับแดดอ่อนยามเย็น แต่กลับถูกกอบกุมด้วยฝ่ามือหนา พร้อมกับม่านทึบที่ถูกปิดลงด้วยความรวดเร็ว จนแสงสว่างจากภายนอกไม่อาจย่างกรายเข้ามาภายในห้องได้


            ฉันบอกว่ายังไง


            เสียงทุ้มเอ่ยเอ็ด ริมฝีปากบางคว่ำลงเล็กน้อย หันกลับไปด้วยความรวดเร็ว ปลายจมูกรั้นก็ชนเข้ากับข้างแก้มสาก เพราะส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกัน ยามที่อีกฝ่ายยืนซ้อนหลัง พวกเขาจึงสัมผัสกันได้ง่ายมากขึ้น


            เจไม่ได้ผละหนี แต่ริมฝีปากหยักได้รูปนั่นกดลงที่มุมปากของร่างบาง


            แจมินครางฮือ เรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้เป็นอย่างดี


            ก่อนที่กายหนาจะทรุดนั่งลงบนเตียงกว้าง คร่อมทับด้วยร่างบางที่ทิ้งกายลงบนหน้าตัก สองมือสอดประคองโอบรอบเอวบาง


            รสจูบแสนหวานดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน ร่างสูงค่อนข้างใจเย็นในการตักตวง ไม่ได้รุกเร้าอย่างใจร้อน แต่หลอกล่อให้ร่างบางตายใจ ก่อนสันจมูกโด่งนั่นจะกดลงที่ต้นคอขาว


            หน้าที่ของบริวารคือการเป็นอาหารให้แก่นายของตน


            แต่เขาไม่ต้องการให้แจมินรู้สึกอย่างนั้น


            สำหรับเขาแจมินคือคนรัก


            เรียวลิ้นไล่เลียลำคอระหงส์แผ่วเบา ซี่ฟันกลายเป็นคมเขี้ยวยาวผิดมนุษย์ กดลงบนผิวนุ่ม ดูดซับหยาดโลหิตที่ล้นทะลัก รสชาติหอมหวานไม่อาจเทียบได้กับเลือดที่ร่างสูงเคยลิ้มลอง


            อ่า...


            ฝ่ามือเรียวแทรกเข้ากับกลุ่มผมสีสว่าง ระบายความซ่านหลังถูกดูดกลืนเลือดสีข้นไปจากร่างกาย


            การถูกดูดเลือดจากร่างสูงไม่ต่างอะไรกับการมีเซ็กส์ ยิ่งยามที่ฝ่ามือหนาไล่ไปตามแผ่นหลังบาง สัมผัสเขากับผิวกายเนียนนุ่มใต้ร่มผ้า บีบเค้นจนขึ้นรอยแดง


            คมเขี้ยวละออกมาเมื่อพอใจในปริมาณเลือดที่ต้องการ จูบซับแผ่วเบาจนรอยแผลนั่นจางลง กระตุกปมเสื้อของร่างบางจนคลายหลวมมากพอจะรั้งออกไป


            ประทับริมฝีปากไล่ลงมาถึงแผ่นอกบาง ขบกัดแผ่วเบาจนคนบนร่างครางในลำคอ


            ก่อนที่จะถูกความนุ่มของพื้นเตียงโอบล้อม ซ้อนด้วยกายหนาที่เคลื่อนทับอีกครา สันจมูกโด่งนั่นกดลงตั้งแต่ข้างแก้มนุ่ม ต้นคอขาว แผงอก และหน้าท้องบาง


            กัดริมฝีปากตัวเองแน่นยามที่ริมฝีปากของร่างสูงปรนเปรอส่วนล่างให้ในจังหวะที่รวดเร็ว


            เกร็งไปทั้งกายเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุด แทรกนิ้วมือเข้าไปตามกลุ่มผมสีสว่าง นัยน์ตาคมของร่างสูงเหลือบมองคนใต้ร่าง ยกยิ้มแผ่วเบา เมื่อเห็นกรอบหน้าหวานเห่อแดง


            หอมแก้มนุ่มนั่นอีกครั้ง ก่อนที่จะสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในกายของร่างบาง


            แขนเรียวโอบกอดรอบลำคอแกร่ง ปลายเล็บจิกเข้ากับผิวกายซีดนั่นเมื่อความเร็วในช่วงล่างถูกเพิ่มขึ้น


            เจโน่เก่งในด้านพละกำลังและความเร็ว


            แจมินตระหนักได้ดียามที่ทอดกายอยู่ใต้ร่างสูง


            ยากที่จะต้านทาน ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่เช่นนี้ ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัว รวมถึงหูที่ได้ยินเสียงชัดกว่าเก่า ทั้งลมหายใจ เสียงหอบครางจากทั้งเขาและเจโน่


            เกินไป


            คล้ายจะหายใจไม่ออก แต่ก็ถูกป้อนเข้ามาทางปาก


            ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


            รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเมื่อเจโน่ยึดไปกำรอบมือ


            ต้นขาด้านในช้ำด้วยรอยจูบมากมายไม่ต่างจากแผ่นอกบาง


            ฮึก...อะ...


            ริมฝีปากบดเบียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟันเขี้ยวซี่เล็กนั่นขบกัดจนเจโน่ได้แผล แต่แขนเรียวที่รั้งต้นคอเขาไว้ทำให้ร่างสูงไม่อาจผละออกไปได้


            ตัวแสบ


            จำยอมปล่อยให้แวมไพร์ตัวน้อยได้ดื่มเลือดจากปากของเขา


            กดกายหนัก ๆ จนร่างบางหอบครางเสียงหลง หมดแรงจะขัดขืน ปล่อยสารธารทิ้งไว้ จูบปลอบประโลมซ้ำ ๆ ไม่อยากละออกจากกายบางที่หวานไปทุกสัดส่วน


            พะ...พอแล้วฝ่ามือเรียวยกขึ้นมาดันอกแกร่ง เมื่อร่างสูงเล่นไม่ปล่อยให้เขาได้พักหายใจสักวินาทีเดียว


            เจโน่ผ่อนลมหายใจ อาจเพราะอดกลั้นมานาน เมื่อได้ครอบครอง
เจ้าของร่างแสนหวานนี่จึงไม่อยากปล่อยให้ห่างมือ


            อยากอะไรขนาดนั้น


            แล้วไม่ได้รึไง


            ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน จะรีบทำไม


            ร่างบางเอ่ย สบตากับเจ้าชีวิตที่ยกยิ้มหลังสิ้นประโยค


            นั่นสินะ


            จะรีบร้อนไปทำไมในเมื่อพวกเขามีเวลาเรียนรู้ไปอีกหลายร้อยปี


            แต่อดทนมานานก็ขอหน่อยเถอะนะ


             อื้ออ เจ็บแก้ม



           
wake up




            การกลับมาเหยียบบ้านหลังผ่านเหตุการณ์โหดร้ายในคืนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแจมิน


            ประตูไม้บานกว้างถูกผลักเข้าไป กลิ่นเหม็นอับชวนย่นจมูกมีมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับตอนเป็นมนุษย์ปกติ กวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะพบกับชายผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้


            กลับมาได้แล้วเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น นัยน์ตาขึงขังนั่นตวัดไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังแจมิน “พาคู่ขาของตัวเองมาด้วยรึไง”


            สิ้นเสียงอีกฝ่าย เจ้าของกลุ่มผมสีสว่างแทบจะพุ่งเข้าไปถ้าไม่ได้ร่างบางห้ามเอาไว้เสียก่อน


            ทำไม! พวกมึงจะทำอะไรกู”


            คราวนี้ร่างบางหันกลับมาหาอีกฝ่ายอย่างใจเย็น


            ผมจะไปอยู่กับเจโน่”


            หึ ไอเด็กไม่สำนึกบุญคุณ พอแม่มึงตายก็กูมั้ยที่เลี้ยงมึงจนโตเท่าควาย แล้วนี่ยังมีหน้ามาหนีตามผู้ชาย” ริมฝีปากสีเข้มนั่นเหยียดยิ้ม “ถ้าอยากขนาดนั้นจริง ๆ มึงบอกกูก็ได้นะ”


            อย่าอยู่เลยไอสัตว์นรก”


            ไม่ทันแล้ว


            แม้จะรั้งกายเจโน่ไว้ได้ แต่อีกฝ่ายมีความสามารถมากกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่พละกำลังและความเร็ว แต่การบังคับสิ่งของให้เป็นไปตามอย่างใจคิดก็เป็นอีกหนึ่งความสามารถของร่างสูง


            อะ...อัก มึง...ทำอะไร อ่อก!


            ไม่รู้ว่าตอนนี้ส่วนไหนในร่างกายของชายมากอายุกำลังบีบรัด อาจเป็นลำไส้ ช่วงอก หรือหัวใจ


            มีเพียงสายตาของร่างสูงที่ทอดมองไปยังอีกฝ่าย แต่ความทรมานของพ่อเลี้ยงแจมินกำลังพุ่งสูง


            เจโน่ พอได้แล้ว!”


            อ่อก! แค่ก!”


            ราวกับความทรมานนั่นหยุดลง นัยน์ตาคมแปรเปลี่ยนจากสีแดงกลับมาเป็นสีดำสนิทเช่นเดิม


            ร่างบางหมายจะวิ่งเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายแต่กลับถูกร่างสูงรั้งแขนเอาไว้


            “...เจโน่”


            กลับ”


            ประกาศิตสั้น ๆ แต่แจมินไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ วงแขนแกร่งโอบกอดร่างบอบบางไว้ ก่อนที่ตรงนั้นจะไม่เหลือแม้แต่เงาของคนทั้งคู่อีก


            เพียงแค่ลืมตาอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าก็เป็นห้องที่ร่างบางคุ้นชินดี หยาดน้ำตาที่หลั่งรินจากนัยน์ตาหวานทำให้ฝ่ามือหนายกหมายจะสัมผัส แต่กรอบหน้าหวานกลับเลี่ยงหนี


            ไหนบอกว่า...อึก จะไม่ทำอะไรไง...”


            ก็ดูมันพูด”


            แต่โน่ก็สัญญากับเราแล้วไง ว่าจะปล่อยให้เราเป็นคนจัดการ”


            นายทำไม่ได้หรอก”


            อย่ามาทำเป็นรู้ดีนะ”


            จะไม่ให้รู้ดีได้ไง ฉันรักของฉันมาตั้งนาน จะให้มันมาทำแบบนี้กับแจมก็ไม่ใช่ปะวะ!”


            เปรี๊ยะ!


            สิ้นเสียงทุ้ม หน้าต่างบานกว้างก็เกิดรอยร้าวขึ้น ทั้งหมดนั่นมาจากพลังที่เอ่อล้นของร่างสูง แจมินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เจโน่ในยามนี้น่ากลัวนัก


            ขะ...ขอโทษ”


            เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา แต่กลับได้รับนัยน์ตาคมที่ตวัดมอง ก้านนิ้วยาวไล่แตะแต้มเข้าที่กรอบหน้าของร่างบาง ก่อนจะหยุดลงที่ปลายคาง


            อย่าลืมว่าแจมเป็นคนของฉัน และเป็นคนรักของฉัน อย่าให้ใครมาพูดแบบนั้นอีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”


            ขะ เข้าใจ”


            จะกัดปากด้วยความประหม่ายามนี้ก็คงไม่ได้ ในเมื่อริมฝีปากหยักได้รูปนั่นเล่นทาบทับเข้ามาแรงเสียขนาดนี้


            ปากแตก, แจมินรู้ดี


            แต่มากกว่านั้นคืออีกฝ่ายจูบซับจนไม่เหลือแม้แต่กลิ่นคาวเลือดเลย


            เจ้าชีวิตของเขานี่ขี้หวงกว่าใครเลยล่ะ       


            กัดคอมั้ยถ้าโน่จะดูดขนาดนั้น


            ได้เหรอ


            เราประชด





e n d


           

คือมันเริ่มจากเห็นทวิตชงเป็นแวมไพร์หลายรอบ

บวกกับที่อยากแต่ง os

ถามตอนแต่งก็ฟัง 119

แม่เจ้า ดิชั้นหยุดมือไม่ได้เลยค่ะ

ฮือ รออ่านฟีดแบคที่เดิมนะคะ


#อมกโน่มิน

           
           

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม